การวิเคราะห์สาระการเรียนรู้
การวิเคราะห์สาระการเรียนรู้จะเป็นการจํากัดขอบเขตของเรื่องที่จะนํามาสอนกับเรื่องที่ไม่นํามาสอน
ซึ่งมีความสําคัญยิ่งในปัจจุบันเนื่องจากหนังสือเรียนบรรจุสาระสนเทศไว้มากเกินกว่าที่จะนำมาสอนอย่างมีประสิทธิผลในระยะเวลาหนึ่งภาคเรียน
ควรยึดหลักว่า เพื่อเป็นผลดีต่อ การเรียนรู้จริงๆของผู้เรียน
สื่อการเรียนรู้ที่จําเป็นถึงแม้ว่าจะน้อยแต่ก็ดีกว่าสื่อการเรียนรู้ขนาดใหญ่
แต่ไม่ได้ช่วยให้ประสบความสําเร็จในการเรียน
วิเคราะห์สาระการเรียนรู้
เนื้อหาสาระที่ช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ตามจุดประสงค์ อาจจะแบ่งได้
หลายลักษณะ เช่น การเย่ และบริกส์ (Gagne and Briggs
1974 : 53 - 70) กําหนดสาระการเรียนรู้ ดังนี้
1) ข้อมูลที่เป็นความรู้
2) เจตคติ
3) ทักษะ
ส่วนเดคโค (De Cecco 1968 : 214 - 447) แบ่งสาระการ เรียนรู้ตามจุดประสงค์เป็น 1) ทักษะ 2) ความรู้ที่เป็นข้อมูลธรรมดา 3)ความคิดรวบยอดและหลักการ และ 4) การแก้ปัญหาการคิดสร้างสรรค์และการค้นพบ
1) ข้อมูลที่เป็นความรู้
2) เจตคติ
3) ทักษะ
ส่วนเดคโค (De Cecco 1968 : 214 - 447) แบ่งสาระการ เรียนรู้ตามจุดประสงค์เป็น 1) ทักษะ 2) ความรู้ที่เป็นข้อมูลธรรมดา 3)ความคิดรวบยอดและหลักการ และ 4) การแก้ปัญหาการคิดสร้างสรรค์และการค้นพบ
การวิเคราะห์เนื้อหาสาระ ควรดําเนินการดังนี้
ตัดสินใจให้ได้ว่าสารสนเทศใดมีความจําเป็นสูงสุด
แบ่งออกเป็นมโนทัศน์ย่อย ๆ
ขอเสนอแนะให้นําโครงสร้างการจําแนกจุดประสงค์การเรียนรู้มาใช้ในการตัดสินใจในการสอน
อาทิ การจำแนกจุดมุ่งหมายการศึกษาของ บลูม (Bloom's Taxonomyข้อมูลเพิ่มเติม
ทฤษฎีการเรียนรู้ของกาเย่ (Robert Gange)
โรเบิร์ต กาเย่ (Robert Gagne) เป็นนักปรัชญาและจิตวิทยาการศึกษาชาวอเมริกา
(1916-2002) ได้เสนอแนวความคิดเกี่ยวกับการสอน คือ ทฤษฎีเงื่อนไขการเรียนรู้ (Condition
of
Learning)โดยทฤษฎีการเรียนรู้ของกาเย่จัดอยู่ในกลุ่มผสมผสาน (Gagne’s
eclecticism) ซึ่งเชื่อว่า
ความรู้มีหลายประเภท
บางประเภทสามารถเข้าใจได้อย่างรวดเร็วไม่ต้องใช้ความคิดที่ลึกซึ้งบางประ
เภทมีความซับซ้อนจำเป็นต้องใช้ความสามารถในขั้นสูง
ทฤษฎีการเรียนรู้ของกาเย่อธิบายว่าการ
เรียนรู้มีองค์ประกอบ 3 ส่วน คือ
ก.หลักการและแนวคิด
1) ผลการเรียนรู้หรือความสามารถด้านต่าง
ๆ ของมนุษย์ ซึ่งมีอยู่ 5 ประเภท
คือ
– ทักษะทางปัญญา (Intellectual
skill) ซึ่งประกอบด้วยการจำแนกแยกแยะการ
สร้างความคิดรวบยอด การสร้างกฎ
การสร้างกระบวนการหรือกฎชั้นสูง
– กลวิธีในการเรียนรู้
(Cognitive strategy)
– ภาษาหรือคำพูด (verbal
information)
– ทักษะการเคลื่อนไหว
(motor skills)
– และเจตคติ (attitude)
2) กระบวนการเรียนรู้และจดจำของมนุษย์
มนุษย์มีกระบวนการจัดกระทำข้อมูลใน
สมอง ซึ่งมนุษย์จะอาศัยข้อมูลที่สะสมไว้มาพิจารณาเลือกจัดกระทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง
และในขณะที่กระ
บวนการจัดกระทำข้อมูลภายในสมองกำลังเกิดขึ้น
เหตุการณืภายนอกร่างกายมนุษย์มีอิทธิพลต่อ
การส่งเสริมหรือการยับยั้งการ เรียนรู้ที่เกิดขึ้นภายในได้
ดังนั้นในการจัดการเรียนการสอนกาเย่จึงได้
เสนอแนะว่า
ควรมีการจัดสภาพการเรียนการสอนให้เหมาะสมกับการเรียนรู้แต่ละประเภท ซึ่งมีลักษณะ
เฉพาะที่แตกต่างกัน และส่งเสริมกระบวนการเรียนรู้ภายในสมอง
โดยการจัดสภาพภายนอกให้เอื้อ
ต่อกระบวนการเรียนรู้ภายในของผู้เรียน
ข.วัตถุประสงค์
เพื่อช่วยให้ผู้เรียนสามารถเรียนรู้เนื้อหาสาระต่าง
ๆ ได้อย่างดี รวดเร็ว และสามารถจดจำ
สิ่งที่เรียนได้นาน
ค.กระบวนการเรียนการสอน
กาเย่ได้นำเอาแนวความคิดมาใช้ในการเรียนการสอนโดยยึดหลักการนำเสนอเนื้อหาและ
จัดกิจกรรมการเรียนรู้จากการมีปฏิสัมพันธ์ หลักการสอน
9 ประการ
ได้แก่
1.เร่งเร้าความสนใจ (Gain Attention)
กระตุ้นหรือเร้าให้ผู้เรียนเกิดความสนใจกับบทเรียนและเนื้อหาที่จะเรียนการเร้าความสนใจ
ผู้เรียนนี้อาจทำได้โดย การจัดสภาพแวดล้อมให้ดึงดูดความสนใจ
เช่น การใช้ภาพกราฟิก ภาพ
เคลื่อนไหว และ/หรือการใช้เสียงประกอบบทเรียนในส่วนบทนำ
2.บอกวัตถุประสงค์ (Specify Objective)
การบอกให้ผู้เรียนทราบถึงจุดประสงค์ของบทเรียนนี้มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง
โดยเฉพาะ
การเรียนการสอนบนเว็บที่ผู้เรียนสามารถควบคุมการเรียนของตนเองได้โดย
การเลือกศึกษาเนื้อหาที่
ต้องการศึกษาได้เอง
ดังนั้นการที่ผู้เรียนได้ทราบถึงจุดประสงค์ของบทเรียนล่วงหน้าทำให้ผู้เรียน
สามารถมุ่งความสนใจไปที่เนื้อหาบทเรียนที่เกี่ยวข้อง
อีกทั้งยังสามารถเลือกศึกษาเนื้อหาเฉพาะที่
ตนยังขาดความเข้าใจที่จะช่วยทำให้ผู้เรียนมีความรู้ความสามารถตรงตามจุดประสงค์ของบทเรียนที่ได้
กำหนดไว้
3.ทบทวนความรู้เดิม (Activate Prior Knowledge)
การทบทวนความรู้เดิมช่วยกระตุ้นให้ผู้เรียนสามารถเรียนรู้เนื้อหาใหม่ได้รวดเร็วยิ่งขึ้นรูป
แบบการทบทวนความรู้เดิมในบทเรียนบนเว็บทำได้หลายวิธี เช่น
กิจกรรมการถาม-ตอบคำถาม หรือ
การแบ่งกลุ่มให้ผู้เรียนอภิปรายหรือสรุปเนื้อหาที่ได้เคยเรียนมาแล้ว
เป็นต้น
4.นำเสนอเนื้อหาใหม่ (Present New Information)
การนำเสนอบทเรียนบนเว็บสามารถทำได้หลายรูปแบบด้วยกัน
คือ การนำเสนอด้วย
ข้อความ รูปภาพ เสียง หรือแม้กระทั่ง วีดิทัศน์
อย่างไรก็ตามสิ่งสำคัญที่ผู้สอนควรให้ความสำคัญก็
คือผู้เรียน
ผู้สอนควรพิจารณาลักษณะของผู้เรียนเป็นสำคัญเพื่อให้การนำเสนอบทเรียนเหมาะสมกับผู้
เรียนมากที่สุด
5.ชี้แนะแนวทางการเรียนรู้ (Guide Learning)
การชี้แนวทางการเรียนรู้
หมายถึง การชี้แนะให้ผู้เรียนสามารถนำความรู้ที่ได้เรียนใหม่
ผสมผสานกับความรู้เก่าที่เคยได้เรียนไปแล้ว
เพื่อให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ที่รวดเร็วและมีความแม่นยำ
มากยิ่งขึ้น
6.กระตุ้นการตอบสนองบทเรียน (Elicit Response)
นักการศึกษาต่างทราบดีว่าการเรียนรู้เกิดขึ้นจากการที่ผู้เรียนได้มีโอกาสมีส่วนร่วมใน
กระบวนการเรียนการสอนโดยตรง
ดังนั้นในการจัดการเรียนการสอนบนเว็บจึงควรเปิดโอกาสให้ผู้
เรียนมีส่วนร่วมในกิจกรรมการเรียน
ซึ่งอาจทำได้โดยการจัดกิจกรรมการสนทนาออนไลน์รูปแบบ
Synchronous หรือการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นผ่านเว็บบอร์ดในรูปแบบ Asynchronous
เป็นต้น
7.ให้ข้อมูลย้อนกลับ (Provide Feedback)
ลักษณะเด่นประการหนึ่งของการเรียนการสอนบนเว็บก็คือการที่ผู้สอนสามารถติดต่อ
สื่อสารกับผู้เรียนได้โดยตรงอย่างใกล้ชิด เนื่องจากบทบาทของผู้สอนนั้นเปลี่ยนจากการเป็นผู้ถ่าย
ทอดความรู้แต่เพียงผู้เดียวมาเป็นผู้ให้คำแนะนำและช่วยกำกับการเรียนของผู้เรียนรายบุคคล
และ
ด้วยความสามารถของอินเทอร์เน็ตที่ทำให้ผู้เรียนและผู้สอนสามารถติดต่อกันได้ตลอดเวลา
ทำให้ผู้
สอนสามารถติดตามก้าวหน้าและสามารถให้ผลย้อนกลับแก่ผู้เรียนแต่ละคนได้ด้วยความสะดวก
8.ทดสอบความรู้ใหม่ (Assess Performance)
การทดสอบความรู้ความสามารถผู้เรียนเป็นขั้นตอนที่สำคัญอีกขั้นตอนหนึ่ง
เพราะทำให้
ทั้งผู้เรียนและผู้สอนได้ทราบถึงระดับความรู้ความเข้าใจที่ผู้เรียนมีต่อเนื้อหาในบทเรียนนั้นๆ
การทด
สอบความรู้ในบทเรียนบนเว็บสามารถทำได้หลายรูปแบบ
ไม่ว่าจะเป็นข้อสอบแบบปรนัยหรืออัตนัย
การจัดทำกิจกรรมการอภิปรายกลุ่มใหญ่หรือกลุ่มย่อยเป็นต้น
ซึ่งการทดสอบนี้ผู้เรียนสามารถทำการ
ทดสอบบนเว็บผ่านระบบเครือข่ายได้
9.สรุปและนำไปใช้ (Review and Transfer)
การสรุปและนำไปใช้
จัดว่าเป็นส่วนสำคัญในขั้นตอนสุดท้ายที่บทเรียนจะต้องสรุปมโนคติ
ของเนื้อหาเฉพาะประเด็นสำคัญ ๆ รวมทั้งข้อเสนอแนะต่าง ๆ
เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้มีโอกาส
ทบทวนความรู้ของตนเองหลังจากศึกษาเนื้อหาผ่านมาแล้ว
ในขณะเดียวกันบทเรียนต้องชี้แนะเนื้อ
หาที่เกี่ยวข้องหรือให้ข้อมูลอ้างอิงเพิ่มเติม
เพื่อแนะแนวทางให้ผู้เรียนได้ศึกษาต่อในบทเรียนถัด
ไปหรือนำไปประยุกต์ใช้กับงานอื่นต่อไป
ทฤษฎีเลสลี่ บริกส์ (Leslie Briggs)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น