ทฤษฎีการคิดของมาร์ซาโน
(Marzano's Taxonomy)
โรเบิร์ต มาร์ซาโน
(Robert Marzano) นักวิจัยทางการศึกษา ได้พัฒนาข้อจากัดของวัตถุประสงค์ของบลูมที่ได้รับการยอมรับและใช้กันอย่างแพร่หลาย
รูปแบบทักษะ
การคิดจะผนวกกับปัจจัยต่าง
ๆ ที่มากขึ้นที่ส่งผลกับการคิดของผู้เรียนซึ่งทั้งหมดสาคัญสาหรับการคิดและการเรียนรู้
(Marzano, 2001) อธิบายว่า รูปแบบพฤติกรรมการเรียนรู้ของผู้เรียน ประกอบด้วย
3 ระบบ ได้แก่ ระบบแห่งตนหรือระบบตนเอง (self – system) เป็นความเชื่อเกี่ยวกับความสาคัญของความรู้ ประสิทธิภาพ และความรู้สึกที่เกี่ยวพันกับความรู้
ระบบบูรณาการหรือระบบอภิปัญญา (metacognitive system) เป็นการมีเป้าหมายการเรียนรู้
มีการนาความรู้ไปใช้ด้วยความชัดเจนและถูกต้อง ระบบสติปัญญาหรือระบบความรู้
(cognitive system) ประกอบด้วยการเรียกใช้ความรู้โดยการทบทวน ทวนซ้า
การนาไปปฏิบัติ ความเข้าใจในความรู้การสังเคราะห์หรือเลือกใช้ความรู้ การวิเคราะห์โดยสามารถจับคู่ความสัมพันธ์
แยกแยะเป็นหมวดหมู่ หรือวิเคราะห์ข้อผิดพลาด การกาหนดกฎเกณฑ์ทั่วไปและเฉพาะเจาะจงได้
และการนาความรู้ไปใช้ในการตัดสินใน การแก้ปัญหาและทาการสารวจสืบค้นจากการทดลอง พฤติกรรมการเรียนรู้ของผู้เรียนตามทฤษฎีการคิดของมาร์ซาโนนั้น
เมื่อพบเจอกับสถานการณ์หรือภาระงานใหม่ระบบแห่งตนจะตัดสินใจว่าจะยอมรับหรือเรียนรู้เรื่องใหม่
เมื่อระบบแห่งตนรับการเรียนรู้เรื่องใหม่ ระบบบูรณาการจะเข้ามาเกี่ยวข้องกับการกาหนดเป้าหมายของการเรียนรู้นั้น
โดยการออกแบบกลยุทธ์ต่างๆ เพื่อการบรรลุเป้าหมายแห่งการเรียนรู้และระบบสติปัญญาจะทาหน้าที่จัดกระทากับข้อมูลที่จาเป็นในลักษณะของการวิเคราะห์
ดังนั้น ปริมาณความรู้ของนักเรียนแต่ละคนจึงมีผลต่อความสาเร็จอย่างสูงในการเรียนรู้เรื่องใหม่
ซึ่งความรู้ใหม่สามารถต่อยอดจากความรู้เดิมได้อย่างกว้างขวาง พัฒนารูปแบบจุดมุ่งหมายทางการศึกษารูปแบบใหม่
(The New Taxonomy of Educational Objectives)
ประกอบด้วยความรู้ 3 ประเภท และกระบวนการจัดกระทากับข้อมูล
6 ระดับ (Marzano, 2001 : 30 – 58) โดยมีรายละเอียดดังนี้
1. ข้อมูล
เน้นการจัดระบบความคิดเห็นจากข้อมูลง่ายสู่ข้อมูลยาก เป็นระดับความคิดรวบยอด ข้อเท็จจริง
ลาดับของเหตุการณ์ สมเหตุสมผล เฉพาะเรื่อง และหลักการ
2. กระบวนการ
เน้นกระบวนการเพื่อการเรียนรู้ จากทักษะสู่กระบวนการอัตโนมัติ อันเป็นส่วนหนึ่งของความสามารถที่สั่งสมไว้
3. ทักษะเน้นการเรียนรู้ที่ใช้ระบบโครงสร้างกล้ามเนื้อ
จากทักษะง่าย สู่กระบวนการที่ซับซ้อนขึ้น โดยมีกระบวนการจัดกระทากับข้อมูล
6 ระดับ ดังนี้
ระดับที่
1 ขั้นรวบรวม เป็นการคิดทบทวนความรู้เดิม รับข้อมูลใหม่ และเก็บเป็นคลังข้อมูลไว้
เป็นการถ่ายโยงความรู้จากความจาถาวรสู่ความจา นาไปใช้ในการปฏิบัติการโดยไม่จาเป็นต้องเข้าใจโครงสร้างความรู้นั้น
ระดับที่
2 ขั้นเข้าใจ เป็นการเข้าใจสาระที่เรียนรู้ สู่การเรียนรู้ใหม่ในรูปแบบการใช้สัญลักษณ์
เป็นการสังเคราะห์โครงสร้างพื้นฐานของความรู้นั้นโดยเข้าใจประเด็น ความสาคัญ
ระดับที่
3 ขั้นวิเคราะห์ เป็นการจาแนกความเหมือนและความต่างอย่างมี หลักการการจัดหมวดหมู่
ที่สัมพันธ์กับความรู้ การสรุปอย่างสมเหตุสมผลโดยสามารถบ่งชี้ ข้อผิดพลาดได้ การประยุกต์ใช้ในสถานการณ์ใหม่โดยใช้ฐานความรู้
และการคาดการณ์ผลที่ ตามมาบนพื้นฐานของข้อมูล
ระดับที่
4 ขั้นใช้ความรู้ให้เป็นประโยชน์ เป็นการตัดสินใจในสถานการณ์ที่ไม่มีคาตอบชัดเจน
การแก้ไขปัญหาที่ยุ่งยาก การอธิบายปรากฏการณ์ที่แตกต่าง และการพิจารณาหลักฐานสู่การสรุปการณ์ที่มีความซับซ้อน
การตั้งข้อสมมติฐานและการทดสอบสมมติฐานนั้น บนพื้นฐานของความรู้
ระดับที่
5 ขั้นบูรณาการความรู้ เป็นการจัดระบบความคิดเพื่อบรรลุเป้าหมาย การเรียนรู้ที่กาหนด
การกากับติดตามการเรียนรู้ และการจัดขอบเขตการเรียนรู้
ระดับที่
6 ขั้นจัดระบบแห่งตน เป็นการสร้างระดับแรงจูงใจต่อสภาวการณ์เรียนรู้
และภาระงานที่ได้รับมอบหมายในการเรียนรู้ รวมทั้งความตระหนักในความสามารถของการเรียนรู้ที่ตนมี
ตามแนวคิดของมาร์ซาโน
(Marzano, 2001 : 38-45,58) การคิดวิเคราะห์ ซับซ้อนมากกว่าความเข้าใจ
เป็นกระบวนการที่ต้องใช้เหตุผล คิดอย่างลึกซึ้งและหลากหลาย มีการคิดโดยพิจารณาอย่างละเอียดถี่ถ้วนและต้องมีเหตุผล
สามารถระบุความเหมือนหรือความแตกต่างอย่างมีหลักการ สามารถจัดลาดับ จัดหมวดหมู่ หรือจัดประเภทของความรู้ของสิ่งต่างๆ
ระบุเหตุผลของการเกิดข้อผิดพลาดของข้อมูล สามารถตีความหรือบอกหลักเกณฑ์พื้นฐานของความรู้
ระบุ เจาะจง หรือสรุปอย่างมีเหตุผล จนสามารถเกิดเป็นความรู้ใหม่ได้และนาหลักการเพื่อประยุกต์ใช้ในสถานการณ์ใหม่โดยใช้พื้นฐานของความรู้
การคิดวิเคราะห์จะประกอบด้วยความสามารถ 5 ด้าน คือ
ด้านที่
1 การจัดจาแนกเปรียบเทียบ (matching) คือ ความสามารถในการสังเกตและจาแนกแยกแยะรายละเอียดของสิ่งต่างๆ
หรือเหตุการณ์ที่เหมือนหรือแตกต่างกันออกเป็นส่วน ๆ อย่างมีหลักเกณฑ์และเข้าใจง่าย
แล้วเปรียบเทียบ ระบุ ยกตัวอย่าง ระบุลักษณะความเหมือนความต่าง และจัดกลุ่มของสิ่งต่างๆ
หรือเหตุการณ์ได้ โดยเริ่มจากระดับง่ายแบบนามธรรมไปสู่ขั้นซับซ้อนที่เป็นนามธรรม ดังนี้
1) การบอกสิ่งที่ต้องการจะวิเคราะห์
2) ระบุลักษณะหรือคุณสมบัติเพื่อจาแนกหรือแยกแยะสิ่งที่ต้องการวิเคราะห์
3) ระบุว่าได้ว่าสิ่งนั้นๆ เหมือนหรือต่างกันอย่างไร
4) สรุปได้อย่างถูกต้องเหมาะสมว่าสิ่งต่างๆ
มีความเหมือนและแตกต่างกัน
ด้านที่
2 การจัดกลุ่ม (classification) คือ ความสามารถในการใช้ความรู้เพื่อการจัดกลุ่ม
จัดลาดับ จัดประเภทของสิ่งต่างๆ โดยใช้คุณลักษณะหรือคุณสมบัติของสิ่งนั้นๆ อย่างมีหลักการหรือหลักเกณฑ์
ด้านที่
3 การวิเคราะห์ข้อผิดพลาด (error analysis) คือ
ความ สามารถในการระบุข้อผิดพลาดหรือความสัมพันธ์และไม่สัมพันธ์กันของสิ่งต่าง ๆ โดยโยงความสัมพันธ์สู่การสรุปอย่างสมเหตุสมผล
ระบุสิ่งที่ไม่ถูกต้องหรือไม่เหมาะสมในสถานการณ์ต่างๆ การใช้ความรู้เดิมผสมผสานกับความรู้ใหม่ไปสู่การสรุปและยกตัวอย่างประกอบได้อย่างมีเหตุผลจากความรู้ที่มีอยู่เดิม
มีข้อมูลหรือหลักฐานในการสนับสนุนจนพิจารณาได้ว่าเป็นจริง โดยมีองค์ประกอบสาคัญ ดังนี้
1) ความรู้เดิมเป็นความรู้ที่ถูกต้องและเป็นจริงมีการยอมรับกันทั่วไป
2) ความรู้จากผู้รู้หรือผู้เชี่ยวชาญ
3) ความรู้จากหลักฐานที่มีอยู่ เป็นหลักฐานที่น่าเชื่อถือ
สามารถหาข้อมูลมาสนับสนุนความคิด
4) ข้อมูลได้รับการพิสูจน์หรือทดลองใช้แล้วเป็นจริง
5) ข้อมูลอื่น ๆ ที่พิจารณาว่าเป็นจริงนามาสนับสนุนให้ความคิดได้รับการยอมรับ
ด้านที่
4 การสรุปหลักการ (generalizing) คือ ความสามารถในการนาความรู้เดิมเป็นข้อมูลเพื่อไปสู่ความรู้หรือหลักการใหม่
ประยุกต์ใช้ในสถานการณ์ใหม่หรือนาไปใช้ในการแก้ปัญหาในชีวิตประจาวัน โดยสามารถนาไปใช้ได้อย่างเหมาะสมและถูกต้อง
โดยใช้การให้เหตุผลสรุปเป็นหลักการดังนี้
1) การให้เหตุผลเชิงอุปนัย
(inductive) เป็นการให้เหตุผลหรือการคิดจากข้อมูลที่เป็นตัวอย่างหรือรายละเอียดแล้วสามารถสรุปเป็นหลักการ
แนวคิด ทฤษฎี หรือเกิดเป็นความรู้ใหม่
2) การให้เหตุผลเชิงนิรนัย
(deductive) เป็นการให้เหตุผลหรือการคิดที่เริ่มจากข้อสรุปแล้วนาไปสู่รายละเอียดหรือการยกตัวอย่าง
ด้านที่
5 การนาไปใช้ (specifying) คือ ความสามารถนาความรู้หรือหลักการไปใช้เพื่อการทานายสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้นได้ในอนาคตได้อย่างเจาะจง
มีความรู้ เข้าใจเหตุการณ์ ระบุรายละเอียดในเหตุการณ์นั้นๆ และบอกสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไปได้
เป็นการประยุกต์ความรู้ใหม่จากหลักการเดิมที่มีอยู่ คาดเดา ทานายสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
รู้ว่าอะไรจริงหรือไม่จริง สามารถปรับเปลี่ยนวิธีการแก้ปัญหาได้อย่างเหมาะสม
จากการศึกษาทฤษฎีและแนวคิดเกี่ยวกับการคิดวิเคราะห์
ที่กล่าวมาข้างต้นผู้วิจัยนาทฤษฎีการคิดของบลูม แนวคิดของแอนเดอร์สันและแครทโฮล แนวคิดของไซน์เนอร์และ
ลิสตัน ทฤษฎีการคิดของมาร์ซาโน
ผู้วิจัยทาการวิเคราะห์และสังเคราะห์ได้องค์ประกอบความสามารถของการคิดวิเคราะห์นั้นจะต้องประกอบด้วยความสามารถ
3 ด้านประกอบกัน ผู้วิจัยจึงจัดกลุ่มและจาแนกระดับความสามารถคิดวิเคราะห์ของผู้เรียน
ดังนี้
1. หลักการคิดวิเคราะห์ความสาคัญของบลูม
หลักการจาแนกแยกแยะแยกย่อยของแอนเดอร์สันและแครทโฮล ความสามารถในการให้รายละเอียดของไซน์เนอร์และลิสตันและการจาแนกเปรียบเทียบ
การจัดกลุ่มของมาร์ซาโน โดยรวมสรุปความหมายว่า การแยกแยะหรือแยกย่อยให้รายละเอียดของสิ่งต่างๆ
เรื่องราว สถานการณ์ที่เหมือนหรือแตกต่างกันออกเป็นส่วน ๆ ระบุความเกี่ยวข้องและความสาคัญได้อย่างมีเหตุและผลเข้าใจง่าย
สามารถเปรียบเทียบ การจัดกลุ่ม จัดลาดับ จัดประเภทของสิ่งต่าง ๆ โดยใช้คุณลักษณะหรือคุณสมบัติของสิ่งนั้น
ๆ อย่างมีหลักการ หลักเกณฑ์ มีเหตุและผล
2. หลักการคิดวิเคราะห์ความสัมพันธ์ของบลูม
หลักการจัดระบบได้ของแอนเดอร์สันและแครทโฮล ความสามารถในการให้เหตุผลของไซน์เนอร์และลิสตันและการวิเคราะห์ข้อผิดพลาดการจัดกลุ่มของมาร์ซาโน
โดยรวมสรุปความหมายว่า เป็นความสามารถในการให้เหตุผล ระบุความสัมพันธ์ย่อยๆ ของสิ่งต่าง
ๆเรื่องราวหรือเหตุการณ์ที่มีความเกี่ยวพัน สอดคล้องหรือขัดแย้งกันอย่างไร การจัดระบบโดยการให้เหตุผล
การระบุข้อผิดพลาดหรือความสัมพันธ์และไม่สัมพันธ์กันของสิ่งต่างๆ โดยโยงความสัมพันธ์สู่การสรุปอย่างสมเหตุสมผล
ระบุสิ่งที่ไม่ถูกต้องหรือไม่เหมาะสมในสถานการณ์ต่างๆ การใช้ความรู้เดิมผสมผสานกับความรู้ใหม่ไปสู่การสรุปและยกตัวอย่างประกอบได้อย่างมีเหตุผลจากความรู้ที่มีอยู่เดิม
มีข้อมูลหรือหลักฐานในการสนับสนุนจนพิจารณาได้ว่าเป็นจริง
3. หลักการคิดวิเคราะห์หลักการของบลูม
หลักการให้เหตุผลของแอนเดอร์สันและแครทโฮล ความสามารถในการเชื่อมโยงเหตุผลไปสู่การปฏิบัติของไซน์เนอร์และลิสตันและ
การสรุปหลักการ การนาไปใช้ของมาร์ซาโน โดยรวมสรุปความหมายว่า เป็นการค้นหาหลักการสาคัญของสิ่งต่างๆ
เรื่องราว สถานการณ์ โดยการวิเคราะห์องค์ประกอบและวิเคราะห์ความสัมพันธ์ที่เชื่อมโยงกันของสิ่งเหล่านั้นจนค้นพบความจริงของสิ่งต่างๆ
แล้วสรุปหลักการเป็นคาตอบได้ เป็นการให้เหตุผลแสดงความคิดเห็นโดยการนาความรู้เดิมเป็นข้อมูลเพื่อไปสู่ความรู้หรือหลักการใหม่
มีความรู้ เข้าใจเหตุการณ์ ระบุรายละเอียดในเหตุการณ์นั้นๆ และบอกสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไปได้
ประยุกต์ใช้ในสถานการณ์ใหม่หรือนาไปใช้ในการแก้ปัญหาในชีวิตประจาวัน โดยสามารถนาไปใช้ได้อย่างเหมาะสมและถูกต้อง
สามารถนาความรู้หรือหลักการไปใช้เพื่อการทานายสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้นได้ในอนาคตได้อย่างเจาะจง
เป็นการประยุกต์ความรู้ใหม่จากหลักการเดิมที่มีอยู่ คาดเดา ทานายสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
รู้ว่าอะไรจริงหรือไม่จริง สามารถปรับเปลี่ยนวิธีการแก้ปัญหาได้อย่างเหมาะสม
จากการวิเคราะห์และสังเคราะห์องค์ประกอบที่กล่าวมาข้างต้น
พบว่าจะมีลักษณะขององค์ประกอบที่คล้ายคลึงกัน จากการศึกษาแนวคิดทฤษฎีที่เกี่ยวข้องดังกล่าว
ผู้วิจัยได้สังเคราะห์องค์ประกอบตัวแปรความสามารถของการคิดวิเคราะห์ โดยแบ่งเป็น
2 มิติ ได้แก่ มิติความสามารถการให้เหตุผล และมิติความสามารถการนาไปประยุกต์ใช้
เพื่อเป็นแนวทางในการสังเคราะห์ตัวบ่งชี้ของการคิดวิเคราะห์ในแต่ละมิติ โดยมีรายละเอียด
ดังนี้
1. มิติความสามารถการให้เหตุผล
เป็นการให้เหตุผลในการจาแนก การให้รายละเอียดสิ่งต่างๆ อย่างมีหลักเกณฑ์ สามารถเปรียบเทียบ
การจัดกลุ่ม จัดลาดับ จัดประเภทของสิ่งต่างๆ โดยใช้คุณลักษณะหรือคุณสมบัติของสิ่งนั้นๆ
อย่างมีหลักการ ให้รายละเอียดของสิ่งต่างๆ เรื่องราว สถานการณ์ที่เหมือนหรือแตกต่างกันออกเป็นส่วนๆ
อย่างมีหลักเกณฑ์ มีเหตุและผล สามารถระบุความเกี่ยวข้องและความสาคัญได้อย่างมีเหตุและผลเข้าใจง่าย
การระบุข้อผิดพลาดหรือความสัมพันธ์และไม่สัมพันธ์กันของสิ่งต่างๆ โดยโยงความสัมพันธ์สู่การสรุปอย่างสมเหตุสมผล
ระบุสิ่งที่ไม่ถูกต้องหรือไม่เหมาะสมในสถานการณ์ต่างๆ การใช้ความรู้เดิมผสมผสานกับความรู้ใหม่ไปสู่การสรุปและยกตัวอย่างประกอบได้อย่างมีเหตุผลจากความรู้ที่มีอยู่เดิม
มีข้อมูลหรือหลักฐานในการสนับสนุนจนพิจารณาได้ว่าเป็นจริง
2. มิติความสามารถการนาไปประยุกต์ใช้
เป็นความเชื่อมโยงความสัมพันธ์ของการสรุปหลักการสาคัญของสิ่งต่าง ๆ เรื่องราว สถานการณ์
ที่เกิดจากการวิเคราะห์องค์ประกอบและวิเคราะห์ความสัมพันธ์ที่เชื่อมโยงกันของสิ่งเหล่านั้น
แล้วสรุปหลักการเป็นคาตอบได้ เป็นการให้เหตุผลแสดงความคิดเห็นโดยการนาความรู้เดิมเป็นข้อมูลเพื่อไปสู่ความรู้หรือหลักการใหม่
มีความรู้ เข้าใจเหตุการณ์ ระบุรายละเอียดในเหตุการณ์นั้น ๆ และบอกสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไปได้
ประยุกต์ใช้ในสถานการณ์ใหม่หรือนาไปใช้ในการแก้ปัญหาในชีวิตประจาวัน โดยสามารถนาไปใช้ได้อย่างเหมาะสมและถูกต้อง
สามารถนาความรู้หรือหลักการไปใช้เพื่อการทานายสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้นได้ในอนาคตได้อย่างเจาะจง
เป็นการประยุกต์ความรู้ใหม่จากหลักการเดิมที่มีอยู่ คาดเดา ทานายสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
รู้ว่าอะไรจริงหรือไม่จริง สามารถปรับเปลี่ยนวิธีการแก้ปัญหาได้อย่างเหมาะสม
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น